เครื่องช่วยฟังคืออะไร และทำงานอย่างไร

เครื่องช่วยฟังเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือผู้ที่มีปัญหาการได้ยิน โดยทำหน้าที่ขยายเสียงและปรับแต่งคุณภาพเสียงให้ชัดเจนขึ้น ช่วยให้ผู้ใช้สามารถได้ยินเสียงรอบตัวได้ดีขึ้น และสื่อสารกับผู้อื่นได้สะดวกมากขึ้น เครื่องช่วยฟังมีความสำคัญอย่างมากในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ที่มีปัญหาการได้ยิน ช่วยให้พวกเขาสามารถมีส่วนร่วมในสังคมและดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างปกติมากขึ้น

เครื่องช่วยฟังคืออะไร และทำงานอย่างไร

  1. แบตเตอรี่ - เป็นแหล่งพลังงานให้กับอุปกรณ์

เมื่อเสียงเข้าสู่ไมโครโฟน สัญญาณจะถูกส่งไปยังเครื่องขยายเสียงเพื่อปรับแต่งและขยายให้มีความดังเหมาะสม จากนั้นลำโพงจะส่งเสียงที่ปรับแต่งแล้วเข้าสู่หูของผู้ใช้ ทำให้ได้ยินเสียงชัดเจนขึ้น

ประเภทของเครื่องช่วยฟังมีอะไรบ้าง

เครื่องช่วยฟังมีหลายประเภท แต่ละแบบมีข้อดีและความเหมาะสมแตกต่างกันไป ประเภทหลักๆ ได้แก่:

  1. เครื่องช่วยฟังแบบใส่ในช่องหู (CIC) - เป็นแบบที่เล็กที่สุด สอดเข้าไปในช่องหูชั้นใน มองเห็นจากภายนอกได้ยาก

  2. เครื่องช่วยฟังแบบใส่ในหู (ITE) - ใส่เข้าไปในรูหูด้านนอก เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาการได้ยินระดับน้อยถึงปานกลาง

  3. เครื่องช่วยฟังแบบใส่หลังหู (BTE) - มีส่วนของเครื่องวางอยู่ด้านหลังใบหู และมีท่อนำเสียงส่งไปยังหู เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาการได้ยินทุกระดับ

  4. เครื่องช่วยฟังแบบเปิดท้าย (RIC) - คล้ายกับแบบ BTE แต่มีลำโพงอยู่ในช่องหู ทำให้มีขนาดเล็กกว่า

การเลือกประเภทของเครื่องช่วยฟังขึ้นอยู่กับระดับการสูญเสียการได้ยิน ลักษณะทางกายภาพของหู และความต้องการของผู้ใช้แต่ละคน

ใครควรใช้เครื่องช่วยฟัง

เครื่องช่วยฟังเหมาะสำหรับบุคคลที่มีปัญหาการได้ยินในระดับต่างๆ ตั้งแต่ระดับเล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง กลุ่มคนที่ควรพิจารณาใช้เครื่องช่วยฟังได้แก่:

  1. ผู้สูงอายุที่มีการได้ยินเสื่อมลงตามวัย

  2. ผู้ที่มีประวัติการสัมผัสเสียงดังเป็นเวลานาน เช่น คนทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม

  3. ผู้ที่มีปัญหาการได้ยินแต่กำเนิด

  4. ผู้ที่มีอาการหูอื้อหรือมีเสียงในหูเรื้อรัง

  5. ผู้ที่มีปัญหาในการสื่อสารหรือฟังคำพูดไม่ชัดเจน

หากคุณสงสัยว่าตัวเองมีปัญหาการได้ยิน ควรปรึกษาแพทย์หู คอ จมูก หรือนักแก้ไขการได้ยินเพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและคำแนะนำที่เหมาะสม

ข้อดีและข้อเสียของการใช้เครื่องช่วยฟัง

การใช้เครื่องช่วยฟังมีทั้งข้อดีและข้อจำกัดที่ควรพิจารณา:

ข้อดี:

  1. ช่วยให้ได้ยินเสียงชัดเจนขึ้น ทำให้สื่อสารกับผู้อื่นได้ดีขึ้น

  2. ช่วยลดความเครียดและความเหนื่อยล้าจากการพยายามฟัง

  3. เพิ่มความมั่นใจในการเข้าสังคมและทำกิจกรรมต่างๆ

  4. ช่วยป้องกันการเสื่อมของระบบประสาทการได้ยินเพิ่มเติม

ข้อจำกัด:

  1. อาจต้องใช้เวลาในการปรับตัวและฝึกฝนการใช้งาน

  2. มีค่าใช้จ่ายในการซื้อและบำรุงรักษา

  3. อาจรับฟังเสียงรบกวนจากสภาพแวดล้อมได้มากขึ้น

  4. ต้องดูแลรักษาและเปลี่ยนแบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอ

ค่าใช้จ่ายและการเลือกซื้อเครื่องช่วยฟัง

การเลือกซื้อเครื่องช่วยฟังควรคำนึงถึงปัจจัยหลายอย่าง ทั้งระดับการสูญเสียการได้ยิน รูปแบบการใช้ชีวิต และงบประมาณ ราคาของเครื่องช่วยฟังมีความแตกต่างกันมาก ขึ้นอยู่กับประเภท คุณสมบัติ และเทคโนโลยีที่ใช้


ประเภท ผู้ผลิต ราคาโดยประมาณ (บาท)
แบบใส่ในช่องหู (CIC) Phonak 30,000 - 80,000
แบบใส่ในหู (ITE) Oticon 25,000 - 70,000
แบบใส่หลังหู (BTE) Signia 20,000 - 60,000
แบบเปิดท้าย (RIC) ReSound 35,000 - 90,000

ราคา อัตรา หรือการประมาณค่าใช้จ่ายที่กล่าวถึงในบทความนี้อ้างอิงจากข้อมูลล่าสุดที่มี แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา ควรทำการวิจัยอิสระก่อนตัดสินใจทางการเงิน


ในการเลือกซื้อเครื่องช่วยฟัง ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการได้ยินเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสม และควรทดลองใช้เครื่องช่วยฟังก่อนตัดสินใจซื้อ นอกจากนี้ ควรตรวจสอบการรับประกันและบริการหลังการขายด้วย

การใช้เครื่องช่วยฟังสามารถเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตของผู้ที่มีปัญหาการได้ยินได้อย่างมาก แม้จะมีค่าใช้จ่ายและต้องใช้เวลาในการปรับตัว แต่ประโยชน์ที่ได้รับในระยะยาวมักคุ้มค่ากับการลงทุน ทั้งในแง่ของการสื่อสาร ความมั่นใจ และความสามารถในการมีส่วนร่วมในสังคม

บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น และไม่ควรถือเป็นคำแนะนำทางการแพทย์ โปรดปรึกษาบุคลากรทางการแพทย์ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเพื่อขอคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสมกับคุณ